Siamcoverage TH
อย่าพลาด!!! เกาะติดพิธีสาบานตน “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 คืนนี้ 23.30 น.
TNN ช่อง 16 เกาะติดพิธีสาบานตนของนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุ เมื่อผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมชุมนุมทั่วประเทศ รวมทั้งที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สถานที่จัดพิธีครั้งสำคัญนี้ จับตาการผ่องถ่ายอำนาจของต้นแบบประชาธิปไตยโลกจะเป็นไปอย่างสันติหรือไม่ ในรายการพิเศษวันนี้ (20 มกราคม) เวลา 23.30 น. เป็นต้นไป ทาง TNN ช่อง 16รวมถึงรับชมอุ่นเครื่องก่อนพิธีสาบานตน “โจ ไบเดน” ผ่านช่องทางออนไลน์ทุกช่องทาง Facebook, Line และ Youtube ของ TNN ตั้งแต่วันนี้ -21 มกราคม เวลา 17.00-17.45 น. เกาะติดทุกความเคลื่อนไหว ไม่พลาดทุกสถานการณ์ร้อน เจาะลึกรอบด้านการเมืองสหรัฐฯกับทีมข่าวต่างประเทศสถานีข่าว TNN พร้อมผู้เชี่ยวชาญ |
HPE เผย 4 เทรนด์กำหนดอนาคตธุรกิจคลาวด์
กรุงเทพฯ, 18 มกราคม 2564 – ด้วยความท้าทายจากสถานการณ์โรคระบาด องค์กรทั่วโลกต่างเร่งปรับตัวให้เข้ากับความปกติใหม่ ซึ่งเป็นโลกที่ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด การตัดสินใจและการลงมือปฏิบัติงานต้องเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ และเทคโนโลยีคลาวด์กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ผู้นำอย่าง HPE ได้เล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในกลุ่มลูกค้าองค์กรทั่วโลก และนี่คือ 4 เทรนด์ที่จะเข้ามากำหนดอนาคตของธุรกิจคลาวด์ จาก Hybrid Cloud สู่ Distributed Cloud “อนาคตของคลาวด์จะเป็นไฮบริด” เป็นสิ่งที่นายอันโตนีโอ เนรี ซีอีโอของ HPE กล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน เขาให้เหตุผลว่าการย้ายข้อมูลทั้งหมดไปยังพับลิคคลาวด์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลที่องค์กรใช้งานมานับสิบๆ ปีมีโครงสร้างที่ซับซ้อน อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล องค์กรจึงเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากไฮบริดคลาวด์ ซึ่งไอดีซีคาดการณ์ว่าตลาดในปี 2020 มีมูลค่าถึง 6,000 ล้านเหรียญ และจะเติบโตถึง 22,000 ล้านเหรียญในอีก 3 ปีข้างหน้า นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ HPE GreenLake บริการด้านฮาร์ดแวร์ โซลูชั่น ในรูปแบบของคลาวด์ ซึ่งเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างที่ต้องการด้วยคอนเซ็ปต์ ‘The Cloud That Comes to You’ เป็นบทพิสูจน์สำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าคำคาดการณ์ของนายเนรีได้กลายเป็นจริง หลังจากเปิดตัวเมื่อ 3 ปีก่อน HPE GreenLake มีอัตราการเติบโตสูงกว่าพับลิกคลาวด์ และมูลค่ายอดการใช้งานในเอเชียแปซิฟิกในปี 2020 เพิ่มขึ้นถึง 77% จากปีก่อนหน้า แม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ก็ตาม” “การเติบโตอย่างโดดเด่นของไฮบริดคลาวด์ถือเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือโซลูชันแบบ Distributed Cloud ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ที่อยู่ในหลากหลายพื้นที่ได้ด้วยวิธีการที่สะดวก ยืดหยุ่น และกระชับฉับไว ซึ่งนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในยุคที่องค์กรมีการใช้งานคลาวด์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น” ความคุ้มค่าของ Hybrid Cloud ไม่เป็นที่กังขาอีกต่อไป บริการคลาวด์มักมาพร้อมกับการให้บริการแบบ As-a-Service และการคิดค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริง (pay-per-use) ซึ่งเปิดให้องค์กรเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัยล่าสุด พร้อมปรับเพิ่มหรือลดการใช้งานได้ตามความต้องการ ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนเพื่อติดตั้งก่อนการใช้งาน และเพิ่มความยืดหยุ่นด้านการเงินสำหรับการสร้างสรรค์โครงการใหม่ๆ อีกด้วย “โมเดลดังกล่าวตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่น ธุรกิจร้านอาหารเชน ซึ่งมีข้อจำกัดในด้านเงินทุน อีกทั้งยังต้องการความรวดเร็วในการติดตั้งระบบและเริ่มใช้งาน โดยจากการเก็บข้อมูลของลูกค้าทั่วโลกพบว่า รูปแบบ As-a-Service ของ HPE GreenLake สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) ได้ถึงร้อยละ 30 – 40 และยังช่วยให้ลูกค้ารักษาสภาพคล่อง และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจอีกด้วย” นายพลาศิลป์ กล่าวเสริม นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย ภาคการเงินเป็นหนึ่งธุรกิจหลักที่ใช้ Hybrid Cloud ในวงกว้าง ผลวิจัยโดย MarketsandMarkets คาดว่า การใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ในธุรกิจการเงินในปี 2021 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีสูงถึง 24.4% และมีมูลค่าตลาด 29,470 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสาเหตุหลักๆ เป็นเพราะกฎระเบียบข้อบังคับด้านข้อมูล ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลยังควรต้องจัดเก็บในที่ที่จะนำไปใช้งานได้ง่ายภายในเครือข่ายของธนาคาร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นายพลาศิลป์ กล่าวต่อไปว่า “วันนี้ HPE ได้นำ HPE GreenLake มาให้บริการ Core Banking As-a-Service แก่ 3 ธนาคารชั้นนำของไทย โดยหนึ่งในนั้นเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ยุคดิจิทัลแบงกิ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบขึ้นถึง 3 เท่า จากที่เคยต้องใช้เวลาข้ามคืนในการจัดการเวิร์คโหลด ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ธนาคารสามารถเปิดให้บริการหลัก เช่น โมบายแบงกิ้งได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย ความสำเร็จนี้ทำให้ HPE ได้รับรางวัล The Peak Tech Laureates 2020 หนึ่งในเวทีชั้นนำของสิงคโปร์ที่ยกย่องพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่ช่วยลูกค้าในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจได้อย่างโดดเด่น” ประสบการณ์การใช้งานเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้งาน เมื่อมีการใช้งาน Hybrid Cloud การมองเห็นภาพรวมของการใช้งานและค่าใช้จ่ายมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่บุคลากรด้านไอทีต้องการ คือ ประสบการณ์การใช้งานที่ง่าย สะดวก และระบบที่เอื้อให้พวกเขาบริหารจัดการเวิร์คโหลดได้ทั้งบนไพรเวทคลาวด์และพับลิกคลาวด์ “เมื่อช่วงกลางปี 2020 HPE จึงได้เปิดตัว HPE GreenLake Central แพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลของระบบคลาวด์ทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีเอไอที่คอยติดตามประสิทธิภาพของการใช้งาน และให้คำแนะนำหากต้องมีการปรับเพิ่มหรือลดขีดความสามารถของระบบ ซึ่งจะยิ่งช่วยให้คลาวด์ตอบโจทย์ทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น นวัตกรรมที่มาพร้อมกับประสบการณ์การใช้งานที่ไร้รอยต่อเช่นนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ HPE GreenLake มีมูลค่าของสัญญากว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เติบโตสูงสุดของ HPE ในปัจจุบันอีกด้วย” นายพลาศิลป์ กล่าวสรุป |
เริ่มต้นปี 2564 อย่างรื่นรมย์ ที่ สันติบุรี เกาะสมุย กับแพ็คเกจ “Blissful Vacay” ของขวัญปีใหม่สุดพิเศษ
เกาะสมุย ประเทศไทย – สันติบุรี เกาะสมุย (Santiburi Koh Samui) ลักซ์ชัวรี่รีสอร์ทบนเกาะสมุย ชวนคนไทยมาเติมเต็มความสุขอันรื่นรมย์ พร้อมเริ่มต้นปีใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ ภายในอาณาจักรรีสอร์ทริมทะเลที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 23 เอเคอร์ เงียบ สงบ เป็นส่วนตัว ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่น เพียบพร้อมด้วยกิจกรรมหลากหลายทั้งทางบกและทางน้ำด้วยการบริการอย่างเหนือระดับ รวมถึงอาหารเลิศรสด้วยวัตถุดิบชั้นดีระดับพรีเมี่ยม กับแพ็คเกจใหม่ “Blissful Vacay” ด้วยราคาที่คุ้มค่า และสิทธิพิเศษอีกมากมาย. สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทยสำรองห้องพักที่สันติบุรี เกาะสมุย ตั้งแต่วันนี้ - ถึง 31 มีนาคม 2564 และเข้าพักได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ราคาเริ่มต้นเพียง 3,900 บาท ต่อคืน (รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน) ผลไม้สดในห้องพัก และบริการน้ำชายามบ่าย เวลา 16.00 – 17.00 น. ทุกวันระหว่างเข้าพัก พร้อมส่วนลด 25% สำหรับทุกห้องอาหารของโรงแรมและสปาทรีทเมนต์ที่เล่นสปา (Lèn Spa) พิเศษสุดเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เข้าพักฟรี (1ท่าน สำหรับห้องพักดูเพล็กซ์สวีท และ 2 ท่านสำหรับห้องพักประเภทวิลล่า) และสำหรับผู้ที่เข้าพัก 3 คืนขึ้นไป รับฟรีบริการรถรับส่งไป-กลับสนามบินนานาชาติสมุย เติมเต็มวันหยุดพักผ่อนด้วยการเช็คอินก่อนเวลา (09.00 น.) และ เช็คเอาท์ล่วงเวลา (16.00 น.)*ขึ้นอยู่กับจำนวนห้องว่าง และสามารถเปลี่ยนแปลงการเข้าพักได้ถึง 48 ชั่วโมงก่อนเช็คอิน แพ็คเกจ “Blissful Vacay” ยังสามารถใช้ร่วมกับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” รับส่วนลด 40% สูงสุดถึง 3,000 บาทต่อคืน ราคาเริ่มต้น 2,340 บาทต่อคืน (เข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ - 29 เมษายน 2564) สันติบุรี เกาะสมุย ขอให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวทุกท่านสามารถวางใจได้ว่า ทางรีสอร์ทปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขภาพและสุขอนามัย พร้อมการบริการที่มีคุณภาพ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และหน่วยงานในพื้นที่ รีสอร์ทแห่งนี้ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขและได้รับการรับรอง “Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA)” ซึ่งสะท้อนถึงขั้นตอนและระเบียบการทำความสะอาดที่คำนึงถึงสุขอนามัยและความปลอดภัยสูงสุด มาตรการเหล่านี้ รวมถึงการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกและการฆ่าเชื้อโดยมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) การตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายสำหรับแขกและพนักงาน การจัดเตรียมระยะห่างทางสังคมและอื่น ๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมแพ็คเกจ “Blissful Vacay” สันติบุรี เกาะสมุย ได้ที่เบอร์โทรฯ 077 425 031 อีเมล rsvn@santiburisamui.com หรือแอดไลน์ @santiburisamui เยี่ยมชมเว็บไซต์ของโรงแรมได้ที่ www.santiburisamui.com |
ไทยแอร์เอเชีย รับมอบตราสัญลักษณ์ SHA ตอกย้ำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย
กรุงเทพฯ 14 มกราคม 2564 ไทยแอร์เอเชีย รับมอบตราสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration – SHA) จากผู้บริหารการท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย เเละกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อยืนยันถึงมาตรการด้านสุขอนามัยที่เคร่งครัดเเละสม่ำเสมอของสายการบินฯ โดยเฉพาะการป้องกันเเละลดการเเพร่ระบาดของโควิด-19 ครอบคลุมทั้งการตรวจประเมินโดยคณะกรรมการ และความพึงพอใจของลูกค้า พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเดินทาง |
สมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทยร่วมกับกระทรวงดิจิตอลฯและกระทรวงอุดมศึกษาฯ ร่วมจัดงานประกาศผลรางวัลชนะเลิศ โครงการ X Campus Ads Idea Contest 2020
ณ โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พอยต์ เทอร์มินอล 21 |
สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ เชิญรับชมเพจเฟซบุ๊ก “ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง” EP.4 ตอน “ผลกระทบของ Covid 19 ที่มีต่อผิวหนัง”
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยหรือ DST ตระหนักที่จะทำหน้าที่เพื่อตอบแทนสังคมและเผยแพร่และทำการรักษาและให้ความรู้กับประชาชนทั่วประเทศ ขอเชิญประชาชนและผู้สนใจทั่วไป เข้าชม Facebook Live ผ่าน เพจเฟซบุ๊ก “ครบเครื่องเรื่องผิวหนัง” ใน... EP.4 ตอน “ผลกระทบของCovid 19 ที่มีต่อผิวหนัง” ในวันพุธ ที่ 27 มกราคม 2564 เวลา 15.00 -16.00 น. โดย พญ.แพรมาลา ฉายาวิจิตรศิลป์ ประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี พญ.แพรวพรรณ บุณยรัตพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย และ พญ.ปราณี เศวตวิลาศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เป็นวิทยากรรับเชิญ โรคโควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งในตระกูลโคโรนา โดยมีรายงานจากต่างประเทศหลายฉบับเกี่ยวกับผื่นผิวหนังที่พบในกลุ่มคนไข้ที่ติดเชื้อไวรัสนี้ ไม่ว่าจะเป็นผื่นชนิดลมพิษ ผื่นแดงที่คล้ายกับผื่นจากไวรัสตัวอื่น ๆ ตุ่มน้ำที่คล้ายกับที่พบในโรคสุกใส หรือผื่นที่มีลักษณะเป็นร่างแห นอกจากนั้นยังมีรายงานผื่นที่มีลักษณะเป็นผื่นม่วงแดงบริเวณปลายมือปลายเท้าในผู้ป่วยโรคนี้ ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อ มากกว่า 10,000 คนในประเทศไทยในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา เราพบผู้ป่วยมีผื่นผิวหนังเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน แต่พบในจำนวนน้อยกว่า 5% โดยส่วนใหญ่เกิดจากผลข้างเคียงต่อยาที่ใช้รักษาโรคเป็นหลัก สำหรับประชาชนทั่วไป หากมีอาการที่เข้าข่ายของการติดเชื้อโควิด-19 เช่น มีอาการไข้ อาการทางระบบทางเดินหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีผื่นทางระบบผิวหนังร่วมกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา แนะนำให้ท่านสามารถไปตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้านท่าน สิ่งที่สำคัญที่ดีทีสุด คือการป้องกัน ดังนั้นการทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง ปราศจากเชื้อโควิด-19 จะต้องหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดและการเว้นระยะห่างทางสังคมจะช่วยให้พวกเราสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน |
เอาใจสายคิวท์ Wacoal X Sahred Toy โปรฯ พรีเมี่ยมลายเที่ยวไทยลิมิเต็ดอิดิชัน
อยู่ที่ไหนก็แฮปปี้กับโปรโมชันเอาใจสายคิวท์ Wacoal X Sahred Toy คอลเลกชันของพรีเมี่ยมลายเที่ยวไทยลิมิเต็ดอิดิชัน ผลงานการวาดของ Sahred Toy ศิลปินนักวาดภาพชื่อดังของไทย จากแรงบันดาลใจเที่ยวทุกที่แฮปปี้ทุกคัพไซซ์จัดให้เฉพาะลูกค้าวาโก้ เพียงซื้อสินค้าวาโก้ 2,500 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับฟรีแก้วน้ำพกพา จำนวน 1 ใบ มูลค่า 390 บาท หรือซื้อสินค้าครบ 5,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับฟรีผ้าห่มพกพาเนื้อผ้านาโน จำนวน 1 ผืน มูลค่า 990 บาท เริ่มวันที่ 15 มกราคม 2564 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2564 ณ วาโก้ช็อปและเคาน์เตอร์วาโก้ ทุกสาขาทั่วประเทศ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line @wacoal thailand หรือ Call Center 02-296- 9979 *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด |
จากกรณีที่ลุงกับป้า ออกมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากเจ้าหน้าที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ถือคำสั่งศาลชั้นต้นเข้ารื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมอย่างไม่เป็นธรรม ล่าสุด ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช นำเจ้าของตึกย่านสวนมะลิ ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมทั้งเสนอให้รื้อตึกที่ก่อสร้างผิดแบบทั้ง 33 คูหา ด้วย
วันที่ 19 ม.ค.64 เวลา 12.00 น. ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช พร้อมนายสมชาย และนางเพ็ชรรัตน์ อุตมะวณิชย์ เจ้าของอาคารย่านสวนมะลิ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ นายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมทั้งขอให้รื้อถอนอาคารที่มีการต่อเติมผิดแบบ ทั้ง 33 คูหา ภายในถนนยุคล1 แขวงเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย หลังจากทางสำนักงานเขตฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมในชั้น5 และชั้น6 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 แต่ในครั้งนั้นทางคุณลุงสมชาย และคุณป้าเพ็ชรรัตน์ ได้แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิจารณาจากศาลปกครอง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ได้เลื่อนการรื้อถอนในวันดังกล่าวยืดระยะเวาออกไป ก่อนที่ทนายอนันต์ชัย จะพาทั้งคู่มายื่นหนังสือในวันนี้ โดยทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ทางคุณลุงสมชาย และคุณป้าเพ็ชรรัตน์ ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากตนเองให้เข้ามาช่วยในเรื่องคดี หลังจากอาคารแห่งนี้มีข้อพิพาทกันระหว่างเจ้าของเก่า และเพื่อนบ้าน ในปี2542 โดยอาคารแห่งนี้ทั้งคู่ได้ซื้อจากเจ้าของเดิม ซึ่งในขณะนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยทั้งคู่ไม่ทราบเรื่องมาก่อนว่าอาคารที่ซื้อมานั้นมีคดีพิพาทกับคู่กรณีที่อยู่ข้างกัน โดยอาคารหลังดังกล่าวได้สร้างขึ้นเมื่อปี 2507 มีความสูง 6 ชั้น จำนวน 33 คูหา แต่ในแบบพิมพ์เขียวที่ยื่นให้ทางเขตตรวจนั้น มีแค่ 4 ชั้นเท่านั้น แต่เจ้าของเดิมที่สร้างอาคารนี้ ได้ต่อเติมผิดแบบตั้งแต่ปีดังกล่าว ก่อนที่คุณลุงสมชาย และคุณป้าเพ็ชรรัตน์ จะซื้อมาต่อในปี2548 จำนวน 4 คูหา ในอาคารเลขที่ 32 ,34 ,36 และ38 โดยทั้งคู่ไม่ได้ต่อเติมอาคารจากของเดิมเลย และเมื่อตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศก็แสดงให้เห็นว่าอาคารแห่งนี้ มีความสูงเท่ากันตลอดแนวทั้งหมด ซึ่งทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2479 ตามมาตรา 6 และมาตรา7(2) โดยเจ้าของเดิมไม่ได้ขออนุญาตดัดแปลง หรือต่อเติมอาคารจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นแต่อย่างใด ต่อมาในคดีนี้ทางศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแจ้งให้เจ้าของอาคารเดิม และคู่กรณีแก้ไขตามมาตรา39 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 หากไม่ทำตามคำสั่ง ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จึงจะมีคำสั่งรื้อถอนอาคารที่มีการดัดแปลงในส่วนนี้ได้ แต่คำสั่งรื้อถอนของผู้อำนวยการเขตฯ คนเก่าที่ผ่านมา กลับมีคำสั่งข้ามขั้นตอนให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงออก จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนที่จะสืบเนื่องมาจนถึงการยื่นหนังสือในวันนี้ ด้านนายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กล่าวว่า ตนเองขอชี้แจงว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล ส่วนในเรื่องที่จะต้องรื้อถอนอาคารของนายสมชาย และนางเพ็ชรรัตน์ นั้น ตนเองไม่อยากทำ และที่ผ่านมาก็ได้มีการพูดคุยมาโดยตลอด แต่เนื่องจากศาลมีคำสั่งมาแล้ว หากตนเองไม่ปฏิบัติตามก็จะผิดกฎหมายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตนเองพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่เลือกปฏิบัติกับใครทั้งนั้น หากตรวจพบการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการกับผู้ที่กระทำความผิดด้วยเช่นกัน |
นมไทย-เดนมาร์ครุกน่านฟ้ารุกขยายตลาดสมัยใหม่
นายอาทิตย์ เพ็ชรรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เป็นประธานเปิดตัวการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค "นมยูเอชที ปราศจากน้ำตาลเเลคโตส รสจืด และ "โยเกิร์ตพร้อมดื่มปราศจากไขมันยูเอชที กลิ่นเสาวรสผสมบุก ตราไทย-เดนมาร์ค ชิลดีบนเครื่องแอร์เอเชียในทุกเที่ยวบิน ในประเทศ โดยมีนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยอ.ส.ค.และด้านนางสาวอรอนงค์ เมธาพิพัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าและบริการบนเครื่องบิน สายการบินไทยแอร์เอเชียร่วมเป็นเกียรติในครั้งนี้ด้วย ณ Thai AirAsia In-flight Building ดอนเมือง กรุงเทพ เมื่อเร็วๆนี้ |
รมช.มนัญญา” ฟิตรับปีฉลู เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนมไทยสู่อาเซียน
"รมช.มนัญญา ” เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนมไทยสู่อาเซียน พร้อมกระตุ้นชาวโคนมเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมดิบรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนมไทย พร้อมเตรียมจัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2564 ต้อนรับปีฉลู ระหว่างวันที่ 8-17 มค.64 โชว์ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอุตสาหกรรมนมไทย อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมกรรมและเทคโนโลยีโคนมไทย Next Normal" นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมโคนมไทยมีวิวัฒนาการก้าวหน้าไปมากจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับอาเซียน ทั้งนี้เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่9) ที่ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนม ให้แก่ปวงชนชาวไทย ด้วยทรงเล็งเห็นว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมจะทำให้ชาวไทยได้บริโภคอาหารที่มีคุณค่า และยังสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยได้มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน ดังนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงมหากรุณาธิคุณของพระองค์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) จัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 8-17 มกราคม 2563นี้ โดยปีนี้จัดภายใต้แนวคิด "นวัตกรรมกรรมและเทคโนโลยีโคนมไทย Next Normal" โดยกระทรวงเกษตรฯ ต้องการให้งานเทศกาลโคนมแห่งชาติในปี2564นี้เป็นเวทีแสดงความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการเลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมของประเทศ เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ไปสู่เกษตรกร โดยจะมีการคัดสรรผลงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชนจัดแสดงให้ความรู้เพื่อเกษตรกรและประชาชนที่สนใจนำไปใช้เพื่อพัฒนาการเลี้ยงโคนมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางภาคการเกษตร ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมนมไทยให้พัฒนายิ่งขึ้นเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมนมในระดับอาเซียน ปัจจุบันเป็นที่ทราบว่าในการพัฒนาอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทย ที่มีการคิดค้นและพัฒนามาตลอดระยะเวลากว่า 59ปี ผลลัพธ์ที่ได้คือ ประเทศไทยมีโคนมสายพันธุ์ที่ดีที่ทนต่ออากาศร้อนชื้นและให้ปริมาณน้ำนมสูง ซึ่งสิ่งนี้เองคือสิ่งที่ประเทศเพื่อนบ้านพยายามศึกษาจากประเทศไทยมาโดยตลอดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพอย่างประทศไทยเรา จึงเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาและการเรียนรู้ด้านโคนมของอาเซียนได้ในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นว่าการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยมีความโดดเด่นกว่าใครๆในอาเซียน มีนักวิชาการด้านโคนมหลากหลายแขนง มีเกษตรกรที่มีองค์ความรู้ในการเลี้ยงโคนมอย่างดีเยี่ยม และมีโคนมสายพันธุ์ดีกว่า 6 แสนตัว นอกจากนี้ อ.ส.ค. ยังได้จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงโคนม ในพื้นที่ของ อ.ส.ค.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อมุ่งหวังให้เป็นศูนย์กลางในการวิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงโคนม สำหรับผู้ที่สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอีกด้วย ด้านนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทนผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า ในการจัดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2564 นี้ นอกจากการประกวดโคนมชิงถ้วยพระราชทานซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจที่พลาดไม่ได้อีกมากมาย อาทิ นวัตกรรมใหม่ๆเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนม ปัจจัยการเลี้ยงโคนม และการเปิดเวทีเสวนาสำหรับชาวโคนมครั้งสำคัญคือ อาทิ สัมมนาเรื่อง “อนาคตนมไทย จะยิ่งใหญ่หรือไปไม่รอด ,เสวนาเรื่องพ.ร.บ.วิชาชีพสัตวบาลกับการพัฒนาปศุสัตว์ประเทศไทย ,การเสวนาเรื่อง “ ความต้องการโภชนะโคนมในประเทศไทย” ,การเสวนาเรื่องการผลิตและการใช้สมุนไทยในปศุสัตว์” ,การเสวนาเรื่องการเลี้ยงโคนมไทยอย่างไรให้รุ่งเรื่องในทศวรรษน้า” เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การใช้โปรแกรมคำนวณสูตรอาหารโคนม โดยใช้ตารางความต้องการโภชนะและพลังงานของโคนมไทย นอกจากนี้ ในการจัดงานเทศกาลโคนมฯแต่ละปี ยังเป็นเวทีเชิงสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนมในประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งถือเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ที่นอกจากต้องการส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรโคนมให้แข็งแรงและมั่นคงแล้ว ยังต้องการให้คนไทย ทุกเพศ ทุกวัยรักการดื่มนมมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตจากนมโคสดแท้ 100% ที่ได้จากเกษตรกร เนื่องจากเห็นว่านอกจากจะส่งเสริมสุขภาพที่ดีกับให้คนไทยแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้มั่นคงในการประกอบอาชีพโคนมอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโคนวิด-19ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่าการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างภูมิต้านทานแข็งแรงให้กับคนไทย ซึ่งการหันมาบริโภคนมมากขึ้นจะช่วยตอบโจทย์สุขภาพได้เป็นอย่างดี ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้มีการมอบนโยบายแก่ อ.ส.ค. มาโดยตลอด ในเรื่องการตอกย้ำเพื่อสร้างการรับรู้ในการบริโภคนม เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนไทยหันมาดื่มนมกันมากขึ้น โดยมีเป้าหมายการเพิ่มปริมาณจาก 18 ลิตร/คน/ปี เป็น 25 ลิตร/คน/ปี ภายในปี 2569 นี้อีกด้วย |
1-10 of 610